IN THIS SECTION
- พัฒนาการของเด็กสัปดาห์ที่ 6
- การเจริญเติบโตของเด็กสัปดาห์ที่ 6
- สุขภาพของเด็กสัปดาห์ที่ 6
- เคล็ดลับและเกร็ดความรู้สำหรับคุณ
เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 เด็ก (Infant) จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากในสมองเนื่องจากการพัฒนาของระบบประสาท ซึ่งเด็กส่วนใหญ่มักมีการร้องไห้อย่างรุนแรงหรือเรียกว่าโคลิค (Colic) ในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งสาเหตุนั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดแต่เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการของลูกน้อยที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างยาวนาน นอกจากนี้ในช่วงนี้คุณแม่คุณพ่อจะสามารถเห็นได้ถึงความคืบหน้าของพัฒนาการด้านการควบคุมกล้ามเนื้อ (Physical development) ที่เด็กสามารถควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณคอได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีพัฒนาการด้านการสื่อสารและการเข้าสังคม (Communication and socialization development) โดยเด็กจะมีการส่งเสียงที่หลากหลายและลอกเลียนแบบเสียงของคุณแม่คุณพ่อ รวมไปถึงเด็กยังเริ่มรู้จักการปลอบประโลมตัวเอง (Self-soothing) อีกด้วย
พัฒนาการของเด็ก
Baby’s Development
พัฒนาการที่สำคัญสำหรับเด็กวัย 6 สัปดาห์หรือ 1 เดือนครึ่งนั้นยังคงเป็นพัฒนาการด้านการควบคุมกล้ามเนื้อซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเคลื่อนไหวในอนาคต ขณะนี้คุณแม่คุณพ่อควรที่จะเห็นได้ถึงความคืบหน้าของพัฒนาการที่เกิดขึ้น โดยลูกน้อยสามารถที่จะยกศีรษะขึ้นและค้างไว้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆแต่ไม่ใช่เพียงหนึ่งวินาทีเหมือนสัปดาห์ก่อนๆ นอกจากนี้เด็กบางคนยังอาจเงยศีรษะได้แต่ก็เพียงในเวลาอันสั้นเท่านั้น นอกจากนี้เด็กยังสามารถหันศีรษะได้คล่องมากขึ้น และสามารถหันศีรษะเป็นการตอบสนองต่อการเกิดเสียงที่เกิดขึ้นรอบๆตัว
สำหรับพัฒนาการด้านการสื่อสารและการเข้าสังคมนั้น เด็กในวัยนี้ควรที่จะมีการส่งเสียงอ้อแอ้ (Cooing) เสียงกลั้วในลำคอ และเสียงร้องครางได้แล้ว ซึ่งถือเป็นสามเสียงพื้นฐานที่เด็กอ่อนควรจะทำได้เมื่อมีอายุใกล้ 2 เดือน ในสัปดาห์นี้เด็กจะเริ่มมีการส่งเสียงด้วยระดับเสียงที่หลากหลายมากขึ้นและมีความพยายามลอกเลียนแบบเสียงของคุณแม่คุณพ่อเมื่อคุณแม่คุณพ่อพูดคุยด้วย ดังนั้นเมื่อพูดคุยกับลูกน้อย ขอให้คุณแม่คุณพ่อเว้นระยะระหว่างการพูดคุยเพื่อให้ลูกน้อยได้ใช้เวลาเรียนรู้ คิดตาม และส่งเสียงออกมาเป็นการตอบสนอง นอกจากนี้เด็กยังมีการยิ้มด้วยความตั้งใจ มากกว่าการยิ้มจากระบบตอบสนองอัตโนมัติ โดยลูกน้อยจะมีการจ้องมองไปที่คุณแม่คุณพ่อและยิ้มให้ ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของพัฒนาการการเข้าสังคมของลูกน้อย
นอกจากนี้อีกพัฒนาการหนึ่งที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้คือเด็กเริ่มที่จะรู้จักการปลอบประโลมตัวเองแล้ว โดยอาจเกิดขึ้นเมื่อเด็กรู้สึกไม่พอใจ ซึ่งเด็กจะหาสิ่งของมาปลอบประโลมตัวเองอันได้แก่ จุกปลอม (Pacifier) ผ้าห่ม ตุ๊กตา หรือแม้แต่มือของเขาเอง หากคุณแม่คุณพ่อสังเกตเห็นว่าลูกน้อยมีการใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้ตัวเขารู้สึกสบายใจ ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีให้คุณแม่คุณพ่อได้เริ่มฝึกลูกน้อยให้เข้านอน (Sleep training) เมื่อลูกน้อยรู้จักที่จะปลอบประโลมตัวเองดีแล้ว ลูกน้อยจะสามารถหลับได้ง่ายขึ้นและยาวนานขึ้น
การเจริญเติบโตของเด็ก
Baby’s Growth
ช่วงสัปดาห์นี้เด็กควรที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 0.33 ปอนด์ ถึง 0.44 ปอนด์ หรือประมาณ 150 กรัม ถึง 200 กรัม โดยในช่วงนี้คุณแม่คุณพ่อจะสามารถเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านระยะเวลาการให้นมแบบเข้าเต้า (Breast feeding) ซึ่งช่วงเวลาการให้นมนั้นยังควรเป็นช่วงเวลาเดิม ตอนนี้คุณแม่คุณพ่อคงพอทราบกิจวัตรและช่วงเวลาในการนอนหลับ การตื่น และการให้นมของลูกน้อยเป็นอย่างดีแล้ว หากคุณแม่ต้องประสบการให้นมในระยะเวลาที่ยาวนาน ในช่วงนี้ลูกน้อยจะเริ่มคุ้นเคยกับการดื่มนมและเริ่มใช้เวลากับการดื่มนมน้อยลงแล้ว ซึ่งระยะเวลาในการให้นมครั้งหนึ่งจะเหลือเพียงประมาณ 15 นาที แต่สำหรับเด็กบางคนอาจเหลือเพียง 5 นาที สำหรับลูกน้อยที่รับน้ำนมทดแทน (Formula feeding) ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เนื่องจากลูกน้อยรู้สึกอิ่มนานขึ้น ระยะเวลาระหว่างการให้นมจึงห่างกันมากขึ้น จากเดิมที่ควรมีการให้น้ำนมทดแทนทุกๆ 2 ชั่วโมง ขณะนี้อาจเปลี่ยนเป็นทุกๆ 3 ถึง 4 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อคุณแม่คุณพ่อหลายท่านทราบช่วงเวลาเหล่านี้แล้วก็มักจะจัดตารางเวลาการให้น้ำนมทดแทน แต่การทำเช่นนี้ไม่เป็นที่แนะนำนัก หากคุณแม่คุณพ่อต้องการจัดตารางเวลาการให้น้ำนมทดแทนลูกน้อยควรที่จะปรึกษากุมารแพทย์เสียก่อน
สำหรับช่วงเวลาการนอน (Sleep pattern) ในสัปดาห์นี้ลูกน้อยจะหลับในระยะเวลาที่นานขึ้น โดยรวมแล้วประมาณ 16 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน อย่างไรก็ตามการนอนหลับที่ยาวนานนี้อาจไม่เกิดขึ้นในเวลากลางคืน เพราะเด็กยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเวลากลางวันและเวลากลางคืนดีนัก ดังนั้นเด็กอาจหลับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานในช่วงเวลากลางวันมากกว่าช่วงเวลากลางคืน
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอันเป็นผลจากการเจริญเติบโตของลูกน้อยอีกสิ่งหนึ่งนั่นก็คือช่วงเวลาการร้องไห้อย่างรุนแรงหรือโคลิค การร้องไห้อย่างรุนแรงนั้นแตกต่างกับการร้องไห้แบบปกติของเด็กตรงที่จะเป็นการร้องไห้แบบแผดเสียง หน้าแดง เป็นการร้องไห้อย่างยาวนานประมาณ 3 ชั่วโมงต่อครั้ง เกิดขึ้นอย่างน้อย 3 วันในหนึ่งสัปดาห์ และมักเกิดช่วงเวลาเย็นถึงกลางคืน ช่วงเวลาการร้องไห้อย่างรุนแรงนี้มักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 6 โดยนักวิจัยยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดนักว่าอะไรทำให้เกิดช่วงเวลาเหล่านี้ อย่างไรก็ตามโคลิคจะเกิดขึ้นยาวนานไป 3 สัปดาห์ ถึง 3 เดือนซึ่งเด็กแต่ละคนก็มีช่วงเวลาและระยะเวลาการร้องไห้อย่างรุนแรงนั้นต่างกันไป แต่โคลิคจะไม่ส่งผลต่อการมีพัฒนาการของลูกน้อยอย่างแน่นอน
สุขภาพของเด็ก
Baby’s Health
เมื่อเด็กมีอายุครบ 6 สัปดาห์ ช่วงนี้อาจมีการเข้าพบแพทย์ตามการนัดหมายตรวจสุขภาพสำหรับเด็กอายุ 6 ถึง 8 สัปดาห์ โดยแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพทั่วไป วัดน้ำหนัก ความยาวร่างกาย และติดตามพัฒนาการ นอกจากนี้ยังอาจมีการพูดคุยกับคุณแม่คุณพ่อถึงโภชนาการ และแนะนำการฉีดวัคซีนสำหรับลูกน้อย (Infant immunization) ซึ่งการฉีดวัคซีนนั้นมักเริ่มตั้งแต่เด็กที่มีอายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไปเนื่องจากจะมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อตัวเด็ก การฉีดวัคซีนตั้งแต่ลูกน้อยยังเด็กนั้นมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากยิ่งเด็กอายุน้อย ความร้ายแรงของโรคก็ยิ่งมาก โดยวัคซีนที่มีความจำเป็นต่อเด็กวัยนี้จะสามารถป้องกันโรคอันตรายได้ถึง 12 โรค เช่น โรคโปลิโอ โรคไอกรน โรคหัดเยอรมัน เป็นต้น ซึ่งวัคซีนนั้นแบ่งเป็น 3 ตัวได้แก่ DTaP/IPV/Hib/HB เป็นวัคซีน 2 เข็ม และเป็นแบบน้ำที่ลูกน้อยต้องกลืนอีก 1 ตัว โดยหากลูกน้อยเกิดอาการผิดปกติหลังการให้วัคซีนหรือเกิดอาการแพ้ คุณแม่คุณพ่อควรรีบพาลูกน้อยเข้าพบแพทย์
สำหรับสัญญาณการเกิดโรคสำหรับเด็กวัย 6 สัปดาห์นั้นมีดังนี้
- ลูกน้อยรับนมน้อยกว่าปกติไม่ว่าจะเป็นน้ำนมแม่หรือน้ำนมทดแทน
- ลูกน้อยมีน้ำหนักที่ลดลง
- ลูกน้อยตอบสนองในทางลบเช่นหงุดหงิด ร้องไห้ ต่อแสง กลิ่น เสียง การสัมผัส
เคล็ดลับและเกร็ดความรู้สำหรับคุณแม่หลังคลอด
Postpartum Tips and Information
เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 เด็กส่วนมากมักมีการร้องไห้อย่างรุนแรง ซึ่งการร้องไห้อย่างรุนแรงหรือโคลิคนี้อาจส่งผลให้คุณแม่หลายท่านเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression) ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้คุณแม่ร้องไห้บ่อยครั้ง เหนื่อยล้า อ่อนแรง และมีปัญหาในการนอนหลับ โดยปกติแล้วภาวะนี้จะหายไปเองภายใน 10 วัน แต่หากคุณแม่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเป็นระยะเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ ร่วมกับความรู้สึกเศร้าสลดเหมือนสูญเสียสิ่งสำคัญไป และมีการร้องไห้ที่บ่อยครั้งขึ้น คุณแม่ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา
คุณแม่ควรพูดคุย เปิดเผยความรู้สึกของตนเอง
คุณแม่ไม่ควรแบกรับภาระการเลี้ยงดูลูกน้อยรวมไปถึงความรู้สึก ความกังวลใจต่างๆเอาไว้คนเดียว คุณแม่ควรพูดคุยและแบ่งปันความคิด ความรู้สึกที่มีกับสมาชิกในครอบครัว กับคุณพ่อ กับเพื่อนสนิท กับกลุ่มคุณแม่ด้วยกัน หรือกับแพทย์ การพูดคุยแบ่งปันความรู้สึกไม่เพียงแต่จะทำให้คุณแม่สบายใจมากขึ้น แต่ยังช่วยให้คุณแม่มองเห็นปัญหาและแก้ไขได้อย่างตรงจุดและคุณแม่ไม่ควรลืมที่จะพักผ่อนให้เพียงพอ
ตัวอย่างวิธีการปลอบประโลมลูกน้อย
- ใช้เสียงเพื่อปลอบประโลม เช่น การพูดคุยด้วยเสียงกระซิบ การร้องเพลงกล่อม การเปิดเพลงที่มีทำนองเพื่อการผ่อนคลาย
- ลดปัจจัยภายนอกที่มักกระตุ้นให้ลูกน้อยร้องไห้อย่างหนัก โดยปัจจัยเหล่านี้มักเป็น แสงแดด เสียง พื้นผิวบางพื้นผิว
- ลองให้ลูกน้อยได้ดูดจุกปลอมหรือสิ่งของอื่นๆที่ปลอดภัยต่อการดูดเช่น ผ้าสะอาด
- ลองให้ลูกน้อยได้ปลอบประโลมตัวเอง โดยให้คุณแม่คุณพ่อวางลูกน้อยลงบนเตียง หน้าหงายขึ้น แผ่นหลังนาบเตียงนอน หรือพื้นที่ที่ปลอดภัยเป็นเวลา 5 ถึง 10 นาที บางครั้งการพยายามปลอบประโลมลูกน้อยก็อาจเป็นการกระตุ้นลูกน้อยมากเกินไป (Overstimulation) ดังนั้นบางครั้งเด็กก็เพียงแค่ต้องการที่จะได้พักจากการได้ยินเสียง การถูกสัมผัส และการมีปฏิสัมพันธ์